โซระ อาโออิ


Sora Aoi (โซระ อาโออิ, 蒼井そら) หรือ Sola Aoi เธอเป็น AV Idol ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น เธอเกิดวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ.1983 ในกรุงโตเกียว ช่วงที่เธอเป็นนักเรียน เธอทำงานพาร์ตไทม์ในร้านขายอาหารและฟาสต์ฟู้ด อย่าง ร้านพิซซ่า, ผับและซูชิบาร์
อาโออิชอบสีฟ้า เอเจนซี่เคยถามเธอว่าชอบสีอะไร เธอตอบว่า “ao” ซึ่งหมายถือสีฟ้าในภาษาญี่ปุ่น เมื่อถูกถามสีที่เจาะจงกว่านั้น เธอบอกว่า ชอบสีฟ้าของท้องฟ้า หรือ “Sky” ซึ่งมันก็ไปตรงกับคำว่า “sora” ในภาษาญี่ปุ่น นั่นเป็นที่มาของชื่อในวงการของเธอ Sora Aoi หมายถือ “Blue Sky” นั่นเอง
ชอบสีฟ้าเหมือนเราเลยแฮะ!
[edit : ข้อมูลตรงนี้ของ Wiki ขัดแย้งกับของ ThaiCinema นิดๆ นะ เพราะทาง ThaiCinema บอกว่า ชื่อของอาโออิ นั้นเขียนว่า Sola ที่มาจาก Solar ซึ่งไม่น่าจะแปลว่า "Sky" แล้วละมั้ง]
เธอเริ่มงานถ่ายแบบนู้ดตั้งแต่เดือน พ.ย. 2001 ด้วยความที่เป็นสาวตาโต ยิ้มน่ารัก หน้าตาก็น่ารักแถมหน้าใสแบบเด็กๆ ไม่พอยังอกโตอีกต่างหาก เธอจึงโด่งดังในเวลาไม่นาน แล้วเธอก็เข้าสู่วงการ AV ในปีถัดมา
อาโออิ หรือที่คนไทยชอบล้อเธอว่าชื่อ “อ้อย” เนี่ย เคยได้รับรางวัล Best Breasts Award จากการประกาศรางวัล AV Grand Prix ในปี 2003
Sora Aoi
นอกจากเธอจะโด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์จากการเป็นดาราเอวีแล้ว เธอก็ยังมีความสามารถในด้านอื่นๆ ด้วย เธอรับงานแสดงภาพยนตร์ ภาพยนตร์ทีวี พิธีกร แล้วก็ยังเป็นนักร้องอีกด้วย
ล่าสุด เธอถูกชักชวนมาเล่นหนังไทยค่ายยักษ์ GTH เรื่องใหม่ล่าสุด “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” หนังของผู้กำกับ “แฟนฉัน” และ “เด็กหอ” ทรงยศ สุขมากอนันต์ แสดงเป็นสาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเมืองไทย ผู้กำกับให้เหตุผลในการเลือกเอาเธอมาอยู่ในหนังของเขาว่า เขาเลือกเธอเพราะความสามารถในการแสดง

Bruno Mars

Bruno Mars
ปีเตอร์ จีน เฮอร์นันเดซ (อังกฤษ: Peter Gene Hernandez) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ บรูโน มาร์ส (อังกฤษ: Bruno Mars) เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1985เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง ชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักในการร้องนำและร่วมเขียนท่อนฮุคในเพลงดัง "Nothin' on You" ของ บี.โอ.บี, และเพลง "Billionaire" ของ แทรวี แม็กคอย เขายังมีเพลงฮิตของตัวเองที่ขึ้นอันดับ 1 กับซิงเกิ้ล "Just the Way You Are" เขายังร่วมเขียนเพลงฮิตใหักับศิลปินอื่นอย่าง "Right Round" ของ โฟล ไรเดอ ร่วมร้องกับ แคชชา และเพลง "Wavin' Flag" ของ เค'นาน



Early LiFe
Bruno Mars หรือ  Peter Gene Hernandez เมื่อ 8 ตุลาคม 1985, และเกิดในพื้นที่ โฮโนลูลู, ฮาวาย, โดยพ่อแม่ของ Bruno Mars, เชื้อสายชาวเปอร์โตริโกและ Bernadette "Bernie" จากฟิลิปปินส์. แม่ของเขาอพยพไปฮาวายจากฟิลิปปินส์ พ่อแม่ของ       Bruno Mars ในตอนนั้นเป็นนักเต้นฮูลา. ตอนอายุสองขวบเขาได้ชื่อเล่นว่า "บรูโน" โดยบิดาของเขาเนื่องจากความคล้ายคลึงของเขาที่จะเป็นตำนานนักมวยปล้ำ             บรูโนมืออาชีพ Sammartino.


Bruno Mars เป็นหนึ่งในเด็กและมาจากครอบครัวนักดนตรีที่สัมผัสเขาผสมผสานความหลากหลายของเร้กเก้, ร็อค, ฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี  นอกเหนือจากการเป็นนักเต้นที่แม่ของเขาเป็นนักร้องและเขา พ่อใช้ความสามารถทางดนตรีของเขาที่จะดำเนินการเพลงริชาร์ดลิตเติ้ลร็อคแอนด์โรล  ลุงของ Bruno Mars สนับสนุน       Bruno Mars ให้ดำเนินการแสดงบนเวทีเช่นกัน Bruno Mars ยังทำเพล​​ง   โด​​ยศิลปินเช่นไมเคิลแจ็คสัน, Brothers Isley และ Temptations.  Bruno Mars อายุ4ปีเริ่มการแสดงห้าวันต่อสัปดาห์กับวงดนตรีของครอบครัวของเขา, บวกกับความน่ารักที่เขากลายเป็นที่รู้จักบนเกาะ สำหรับการเลียนแบบจากสเพรสลีย์ของเขา. ในปี 1990 Bruno Mars เป็นจุดเด่นในกลางสัปดาห์ขณะที่ "ลิตเติ้ลเอลวิส" ที่เกิดขึ้นจะมีนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์เรื่องฮันนีมูนในเวกัสในปี 1992. เวลาที่เขาใช้เวลาแอบอ้างเพรสลีย์มีผลกระทบสำคัญใน


วิวัฒนาการทางดนตรีของ Bruno Mars และเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ. ภายหลังเขาเริ่มเล่นกีตาร์หลังจากวาดแรงบันดาลใจจาก Jimi Hendrix. ในปี 2010 เขายังได้รับการยอมรับและครอบครัวเป็น อิทธิพลในการ "เติบโตขึ้นมาในฮาวายทำให้ Bruno Mars ใช้การทำงานมากขึ้นในฮาวายกับวงดนตรีพ่อ ทุกคนในครอบครัวของ Bruno Mars ร้องเพลงและทุกคนเล่นเครื่องดนตรี ...  ในปี 2003 ไม่นานหลังจากที่จบการศึกษาจากโรงเรียน President Theodore Roosevelt High School เมื่ออายุสิบเจ็ด Bruno Mars ย้ายไป Los Angeles, California, เพื่อติดตามอาชีพดนตรี. เขาใช้ชื่อบนเวทีของเขาจาก ชื่อเล่นที่พ่อของเขาทำให้เขาเพิ่ม " Mars " เข้าไป



นับตั้งแต่ฟังเพลง  notingo on you ของ แร็พเปอร์ดาวรุ่ง  B.o.B สิ่งแรกที่ผมสะดุดในการฟังเพลงนี้ ไม่ใช่เสียงร้องแร็พของ  B.o.B. แต่กลับเป็นเสียงแหบนุ่มๆของหนุ่ม Bruno mars ที่มาร่วม ฟีเจอร์ริ่งในเพลงนี้ 
คำถามที่เกิดขึ้นในหัวสมอก็คือ  Bruno mars คือใคร? คนที่มีน้ำเสียงร้องเพลงป็อปที่ดีแบบนี้ ทำไมไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินที่ไหนมาก่อน  และคำถามนี้ ไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว  เพราะเมื่อค้นกูเกิล ก็พบว่า มีคนตั้ง คำถามว่า  Who is Bruno mars? กันเยอะมาก  นี่ก็แสดงว่า มีคนอยากรู้เยอะเหมือนกัน ว่าไอ้หนุ่มคนนี้ คือใคร และมันไปซุ่มตัวอยู่ที่ไหนมา  พอมาโผล่ใน เพลง  noting on you ก็ทำให้นักร้องหน้าตา ระบุเชื้อชาติไม่ได้ ว่าเป็น เอเชีย หรือลาติน คนนี้ แจ้งเกิดในโลกดนตรีทันที  
เรายอมรับ  ตามตรงกันเลยว่า  ชอบเสียงร้องของหนุ่ม Mars มาก ยิ่งมาได้ฟังเขาร้องฟีเจอร์ริ่ง ใน เพลงBillionaire ของ Travie McCoy แร็พเปอร์หนุ่มของวงแร็พร็อค Gym Class Hero ยิ่งทำให้หลงรัก เสียงของ  Mars มากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องไปขุดคุ้ย ดูประวัติของ  Bruno mars ชัดๆ ว่า เขา คือ ใครกันแน่
เมื่อได้ทราบที่มา ที่ไปของ  mars ต้องยอมรับว่า หนุ่มคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ  เพราะเข้าเป็นทั้ง นักร้อง นักแต่งเพลง รวมไปถึง โปรดิวเซอต์ด้วย  ซึ่งผมขอหยิบมา  เล่าคร่าวๆ  เริ่มจาก ชื่อ Bruno mars  ชื่อนี้เป็นเพียงนิคเนม บนเวทีเท่านั้น ชื่อจริงของวง ตามทะเบียนบ้าน ชื่อว่า  ปีเตอร์ เฮอร์นันเดซ  (Peter Hernandez) ตัวเขาเป็นลูกชาย หนึ่งในพี่น้อง 6 คน และเป็นลูกครึ่งเชื้อสาย ฟิลิปปินส์ และ เปอร์โตริกัน  mars เกิดที่ ฮาวาย 
แวว ความเป็นอัจฉริยะ ทางดนตรี เกิดขึ้น ตั้งแต่สมัยวัยเด็ก เมื่อ ตัวเขา เคยถูกขนานนามว่า "Little Elvis" จากนิตยสาร Midweek เพราะในสมัยเด็ก mars ได้รับแรงบันดาลใจทางด้านดนตรีจาก  ไมเคิล แจ็กสัน และ เอลวิส เพรสลีย์ 


Taylor Swift




เทย์เลอร์ อลิสัน สวิฟต์ (อังกฤษ: Taylor Alison Swift) เกิดวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง แนวคันทรี-ป็อปชาวอเมริกัน

สวิฟต์ เกิดที่เมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย สก็อต บิดาเป็นนักลงทุนในตลาดทรัพย์ ส่วน แอนเดรีย สวิฟต์ มารดาเป็นแม่บ้าน สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ออสติน ตอนเรียนอยู่เกรด 4 สวิฟต์ส่งกลอนความยาว 3 หน้ากระดาษชื่อ "Monster In My Closet" เข้าประกวดในการแข่งขันการแต่งกลอนระดับชาติและได้รับรางวัลชนะเลิศ สวิฟต์เริ่มเขียนเพลงครั้งแรกตอนอายุ 10 ปีเพื่อใช้ในการเข้าประกวดร้องคาราโอเกะระดับท้องถิ่นที่จัดขึ้นในงานเทศกาลต่างๆ

การร้องเพลงของสวิฟต์ได้รับอิทธิพลมาจากคุณยายของเธอ ซึ่งเป็นนักร้องโอเปรา และนักร้องคันทรีสาวลีแอน ไรมส์ เมื่ออายุ 11 ปี สวิฟต์เดินทางไปยังแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี และได้เสนอเดโมเทปต่อค่ายเพลงต่างๆโดยหวังว่าได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงสักแห่งที่นั่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ



ในปีต่อมา สวิฟต์เริ่มเขียนเพลงอีกครั้ง และเริ่มหัดเล่นกีตาร์ นอกจากนี้ เธอยังเดินทางไปแนชวิลล์อีกหลายครั้งเมื่อมองหาโอกาส จนกระทั่งครอบครัวของเธอตัดสินย้ายบ้านไปยังย่านชานเมืองแนชวิลล์ สวิฟต์ได้รับข้อเสนอจากสังกัดอาร์ซีเอเรคคอร์ดสตอนเธออายุ 15 ปี แต่เธอปฏิเสธเนื่องจากอาร์ซีเอไม่ยอมไห้เธออัดเพลงของตัวเธอเอง ต่อมา สวิฟต์ได้มีโอกาสไปเล่นที่ "The Bluebird Café" สก็อต เบอเชตตา สนใจเธอและชักชวนให้เธอเซ็นสัญญากับบิ๊กแมกชีนเรคคอร์ดส ต้นสังกัดปัจจุบัน

สวิฟต์ออกอัลบั้มแรกโดยใช้ชื่อของตัวเองในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 เธอออกอัลบั้มที่ใช้ชื่อของตัวเอง โดยมีซิงเกิ้ลฮิต 5 ซิงเกิ้ลที่ติดชาร์ทในบิลบอร์ดฮ็อตคันทรีซอง เธอออกผลงานซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ "Tim McGraw" ที่ขึ้นชาร์ทสูงสุดอันดับ 6 ในชาร์ทบิลบอร์ดคันทรีชาร์ท ทำยอดขายไปเบาะๆ 500,000 แผ่น ซิงเกิ้ลที่ 2 กับเพลง Teardrops on My Guitar ทำยอดขายไป 1,000,000 แผ่น และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 2 และ Hot100 อันดับที่ 13 ซิงเกิ้ลที่ 3 กับเพลง Our Song ทำยอดขายไปอีก 1,000,000 แผ่นอีกครั้ง แถมติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 นานถึง 6 สัปดาห์ และ Hot100 อันดับที่ 16 ซิงเกิ้ลที่ 4 กับเพลง Picture to Burn ทำยอดขายไปอีก 500,000 แผ่น และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 3 และ Hot100 อันดับที่ 28 ซิงเกิ้ลที่ 5 ปิดอัลบั้ม กับเพลง Should've Said No ทำยอดขายไปอีก 500,000 แผ่น และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 และ Hot100 อันดับที่ 33



สรุปอัลบั้มแรกทำยอดขายทั้งอัลบั้มมียอดขายระดับ 3 แผ่นเสียงทองคำขาว จาก RIAA เดอะนิวยอร์กไทม์ส พูดถึงสวิฟต์ว่า"เธอเป็นหนึ่งในนักแต่งเพลงป็อปที่ดีที่สุด เป็นนักสร้างสรรค์ผลงานแถวหน้า และเข้าถึงชีวิตข้างในของเธอเองมากกว่าใครอื่น"[1]ในปี 2007 ก็ปล่อย EP Album ชื่อว่า Sounds of the Season: The Taylor Swift Holiday Collection ก็ขายดีอีก ติดชาร์ต Billboard 200 อันดับสูงสุดที่ 46 และชาร์ตอัลบั้มคันทรี่ที่อันดับ 14 และก็ถึงฤดูล่ารางวัลในปี 2007 เธอได้รับรางวัลจากเวที Country Music Association Awards ได้รางวัล Horizon Award จากเวที CMT Music Awards ได้รางวัล Breakthrough Video of The Year: "Tim McGraw" ในปี 2008 เธอได้รับรางวัลจากเวที Academy of Country Music Awards ได้รางวัล Top New Female Vocalist จากเวที CMT Music Awards ได้ 2 รางวัล คือ Female Video of the Year: "Our Song" และ Video of the Year: "Our Song" จากเวที Teen Choice Awards ได้รางวัล Breakout Artist และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม แต่เธอก็พ่ายแพ้ให้กับความความแรงของเอมี ไวน์เฮาส์ไม่ได้ รางวัลก็เลยตกเป็นของ Amy ไป ปี 2008 ปล่อย EP Album ชื่อว่า Beautiful Eyes ก็ขายดีอีก ติดชาร์ต Billboard 200 อันดับสูงสุดที่ 10 และชาร์ตอัลบั้มคันทรี่ที่อันดับ 9



อัลบั้มล่าสุด Fearless เธอก็ได้ทำสถิติอีกครั้ง ตั้งแต่เริ่มวางแผงด้วยการวางแผงวันแรกก็ขายไป 217,000 แผ่น และยอดขายรวมสัปดาห์แรกน่าจะขายได้ถึง 600,000 แผ่นทีเดียว อัลบั้มนี้เธอลงมือแต่งเพลงเองทุกเพลง และมีส่วนร่วมในการการโปรดิวด้วย นักวิจารณ์ต่างยกย่องอัลบั้มนี้ว่า เป็นอัลบั้มเพลงป๊อบที่ดีที่สุดในปี 2008 เปิดอัลบั้มล่าสุดกับเพลง Change ติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 57 ชาร์ต และ Hot100 อันดับที่ 10 ซึ่งเพลงใช้ประกอบโอลิมปิกล่าสุดนี้ด้วย ซิงเกิ้ลแรกเปิดอัลบั้ม Love Story ก็ทำยอดขายไปอีก 2,000,000 แผ่น และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 ชาร์ต และ Hot100 อันดับที่ 5 และปล่อยอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นเพลง Fearless ติดอันดับ Hot100 ที่อันดับ 9, You're Not Sorry ติดอันดับ Hot100 ที่อันดับ 11, You Belong with Me ติดอันดับ Hot100 ที่อันดับ 12



จากการสำรวจของนีลเซ็นซาวด์สแกน สวิฟต์เป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดของปี 2008 ในอเมริกา ด้วยยอดขายรวมกัน 4 ล้านชุด อัลบั้มชุด Fearless และ ผลงานอัลบั้มในชื่อของเธอเองติดอันดับ 3 และ 6 ตามลำดับ ด้วยยอดขาย 2.1 และ 1.5 ล้าน[2] เธอยังเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์จากการสำรวจของนีลเซ็นที่มีอัลบั้ม 2 อัลบั้มติดท็อป 10 ในการจัดอันดับอัลบั้มปลายปี[3] Fearless ยังเป็นอัลบั้มแรกตั้งแต่เดือนเมษายน 2004 บนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่ขึ้นอันดับ 1 เป็นเวลา 8 สัปดาห์[4] และยังเป็นอัลบั้มแรกโดยศิลปินหญิงในประวัติศาสตร์เพลงคันทรีที่ขึ้นชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 นาน 6 สัปดาห์ และกลางเดือนมกราคม 2009 สวิฟต์กลายเป็นศิลปินคันทรีคนแรกที่มียอดดาวน์โหลดถึง 2 ล้านครั้ง กับเพลง 3 เพลง






Sweet Mullet

สวีตมัลเล็ต (อังกฤษ: Sweet Mullet) เป็นวงร็อกไทยที่มาจากวงการเพลงใต้ดิน เริ่มมีชื่อเสียงหลังจากเข้าสู่ค่ายจีนี่ เรคคอร์ดสเมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยที่มีเพลง "ตอบ" เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น

 

สมาชิก
ดุลยเกียรติ เลิศสุวรรณกุล (เต๋า) - ร้องนำ
ประณัฐ ธรรมโกสิทธิ์ (แป๊บ) - กีตาร์
นฤดม ตันทนานนท์ (อั๋น) - กีตาร์
พิสุทธิ์ โล่ห์สีทอง (ตี่) - เบส
วิทวัส ภักดิ์แจ่มใส (หมู) - กลอง
อดีตสมาชิก
นวีน นพคุณ (วีน) - กีตาร์
ศิวัช หอมขำ (กล้วย) - เบส
 ประวัติ
สวีตมัลเลต ได้ออกผลงานอีพี Panaphobia ในปี พ.ศ. 2546 เป็นอัลบั้มแรก ทำให้วงเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่คนฟังเพลงใต้ดิน อัลบั้มนี้ทางวงได้ประพันธ์เพลงเอง ตลอดจนกระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายด้วย โดยจำหน่ายในคอนเสิร์ตที่วงได้เดินทางไปเล่นตามที่ต่างๆ ในขณะนั้นเพลงของวงสวีตมัลเล็ต ก็ได้เปิดทางคลื่นวิทยุ 104.5 Fat Radio ในช่วง Bedroom Studio ทำให้ชื่อของสวีตมัลเล็ต เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ในปีต่อมา ทางวงมีโอกาสได้เซ็นสัญญากับสังกัดจีนี่ เรคคอร์ดส โดยการชักชวนของ ดนัย ธงสินธุศักดิ์ (โน่) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ที่ค่ายจีนี่ เรคคอร์ดส โน่ให้ทางวงลองส่งแผ่นมาที่ค่ายดู หลังจากนั้นจึงได้รับการติดต่อกลับมา และทำให้มีโอกาสได้มาร่วมงานกับจีนี่ เรคคอร์ดส ในขณะเดียวกัน วงได้มีการแปลงผู้เล่นเบสจาก กล้วย เป็น ตี่ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกยุคก่อตั้งวง

ในอัลบั้ม Showroom Vol.1 สังกัดจีนี่ เรคคอร์ดส ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมศิลปินหน้าใหม่ของค่ายจีนี่ เรคคอร์ดส วงสวีตมัลเล็ตได้ร่วมร้องเพลงเพลง "ตอบ" ขึ้นชาร์ต 1 ใน 10 เพลงยอดนิยมทางคลื่นวิทยุต่างๆ ทำให้ทางวงได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

ในปี พ.ศ. 2548 วงสวีตมัลเล็ตได้รับเกียรติได้เล่นเป็นวงเปิดให้วงบอดี้สแลม ใน งานบอดีสแลมบีลีฟคอนเสิร์ต (อังกฤษ: Bodyslam Believe Concert) ที่ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี และสวีตมัลเล็ต ได้มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกกันอีกครั้ง จาก วีน ผู้เล่นกีตาร์ของวงซึ่งต้องการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เป็น แป๊บ มือกีตาร์คนปัจจุบัน

ปี 2550 เปิดก่อนออกอัลบั้มเต็มด้วยการเป็นแขกรับเชิญ ในคอนเสริ์ตของวง Retrospect ชื่องาน Retrospect The First Concert โดยขึ้นแจมในเพลง ความฝันของเรา และได้แสดงโชว์เพลง หลอมละลาย เพลงของคนโง่ และ ไต่เย้ยนรก ออกสู้สายตาสาธารณะชนเป็นครั้งแรก

Light Heavyweight เป็นผลงานอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ของวง เปิดตัวอัลบั้มด้วยซิงเกิลแรก "เพลงของคนโง่" และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ตามมาด้วย "หลอมละลาย" และ "หลับข้ามวัน" ตามลำดับ

ปี 2552 เป็นแขกรับเชิญ ในคอนเสริ์ตของวง Potato ชื่องาน Potato The Real Life Concert ที่ราชมังคลากีฬาสถาน

ปี 2553 เป็นวง Supporter Act ให้กับวงดนตรี Saosin ในงาน Saosin Live in Bangkok สถานที่ Butter butter รัชดาภิเษก โดยมีนักร้องนำวง Sixce ร่วมแสดงในเพลง ลั่น

[แก้] ผลงาน

ปกซีดีอัลบั้ม Panaphobia EPPanaphobia EP (2546)
1.Intro
2.Yoda’s Attention
3.Wedding Gift
4.Cosmetica
5.Outro
6.Cosmetica(Acoustic Version)
Showroom1 (2548)
1.ตอบ
Light Heavyweight (2550)

ปกซีดีอัลบั้ม Light Heavyweight1.หลอมละลาย
2.หลับข้ามวัน
3.เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
4.เพลงของคนโง่
5.ไต่เย้ยนรก
6.น้ำตา
7.ไกลสุดไกล
8.กลับมาอีกครั้ง
9.ใต้แสงไฟ
10.ลั่น
11.ตอบ (Piano Version)



Project PLAY (2552) ฉลองครบรอบ 25 ปี GMM Grammy นำเพลงเก่าของศิลปินในสังกัดมาทำใหม่ โดยใช้กลุ่มศิลปินร็อคประจำค่ายชื่อดัง 12 กลุ่มมาเป็นผู้ถ่ายทอดดนตรีในรูปแบบของตัวเอง
1.ฝากเลี้ยง (เพลงเก่าของ เจ เจตริน จำหน่ายเป็นลำดับที่ 3 ในโปรเจกต์ ต่อจาก No More Tear และ Zeal)
1.เต๋า นักร้องนำ ร่วมงานกับวง Potato ในเพลง ยื้อ ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง โลงต่อตาย (The Coffin) และบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Circle ของวง Potato (2551)



Sound of Silence (2553) จัดจำหน่ายครั้งแรกโดยการสั่งจองพร้อมเสื้อ Special Edition ทางเว็บ sweetmulletband.com แถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้ม วันที่ 27/4/2553 สถานที่ร้าน Inch รัชดาภิเษก
1.กับดัก
2.สัญญาณ
3.สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
4.หัวใจที่หายไป
5.คมมีด
6.ภาพติดตา
7.สงครามเย็น Feat Nappa Retrospect
8.เหตุผลที่ยังหายใจ
9.คอนเสิร์ตลืมโลก
10.พลังแสงอาทิตย์
11.Cold War Assassin Version by DJ.Blast Beats




Paradox !




เริ่มต้นในฤดูใบไม้ผลิประมาณปี2537 ที่ห้องคอมพิวเตอร์ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในชั่วโมงคอมพิวเตอร์ ต้ากับสองซึ่งขณะนั้นเรียนปี1อยู่ด้วยกันที่ครุศิลป์ จุฬาฯ ต้าเกิดความคิดที่จะตั้งวงดนตรีเอาไว้เล่นตามงานต่างๆของคณะ พอดีเห็นสองกำลังนั่งฟังซาวด์อเบาท์ (เครื่องเล่นเทปสมัยก่อน) เลยเห็นว่าสองน่าจะสนใจดนตรีจึงเริ่มคุยกัน ซึ่งสองในตอนนั้นก็เพิ่งเล่นเบสได้ไม่นาน แต่ก็สนใจจะร่วมด้วย ดังนั้นทั้งสองคนก็เลยเริ่มมองหาสมาชิก เพื่อมาเสริมตำแหน่งให้ครบวง

ในช่วงแรกนั้น เวลาไปห้องซ้อมก็มักจะซ้อมดนตรีกันเพียงแค่ 2 คน โดยต้าเล่น สองร้อง และช่วงนี้ก็ได้เริ่มแต่งเพลงเอาไว้จำนวนหนึ่ง.. ซึ่งเพลงแรกที่ทั้งคู่ร่วมกันแต่งก็คือ "โรงหนังเก่า"

หลังจากตระเวนหามือกลองอยู่นานแสนนาน และแล้วงานลอยกระทงที่มหาลัยก็มาถึง ทั้งสองคนซึ่งเป็นแฟนเพลงวงโมเดิร์นด็อกก็ได้ตามมาดูคอนเสิร์ต ซึ่งจัดขึ้นที่คณะนิเทศศาสตร์ ก่อนที่วงโมเดิร์นด็อกจะขึ้นเล่นก็มีวงเปิดของคณะฯมาเล่นประกอบ ต้าสังเกตเห็นมือกลองตีดีน่าสนใจจึงทาบทามให้มาเล่นด้วย คนๆนั้นเป็นรุ่นพี่ปี 3 ชื่อ พี่โน้ต

จากนั้นทั้ง3คนก็ก่อตั้งวงดนตรี3ชิ้นชื่อ "หอยจ๊อ" ขึ้น โดยการรวมตัวกันของ ต้า สอง พี่โน้ต และได้เหล่าเพื่อนๆมาช่วยร้องนำ (ตอนนั้นต้าเล่นกีต้าร์อย่างเดียว) หลังจากเล่นมาได้ประมาณ1ปี ก็เริ่มอยากทำเทปขายเพื่อนๆ จึงเข้าห้องอัด อัดเพลงเพื่อทำอัลบั้มกันเอง ตอนนั้นด้วยความที่ไม่มีใครเป็นนักร้องที่แท้จริง ทางวงจึงลงความเห็นว่าให้ต้าทำหน้าที่นักร้องนำตั้งแต่นั้นมา

ต่อมาหอยจ๊อก็พบกับปัญหาที่นักดนตรีส่วนใหญ่เจอ คือ คุณภาพเสียงที่อัดมาแย่และไม่มีทุน ประกอบกับมีรุ่นพี่ที่คณะแนะนำให้นำเพลงไปเสนอค่ายเทป ทำให้ทางวงจึงเดินเข้าไปเสนอเดโม กับค่าย Easternsky Records และโชคดีได้ร่วมงานกับค่ายตั้งแต่นั้นมา แต่เพราะความที่ชื่อหอยจ๊อ ฟังแล้วไม่น่าจะใช้ได้นาน ทางค่ายจึงแนะนำให้ลองหาชื่อใหม่ พอดีสองไปเปิดตำราเกี่ยวกับ UFO พบศัพท์แปลกๆว่า "PARADOX" ซึ่งแปลว่าวัตถุประหลาด, คำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับความรู้สึก, อะไรที่ขัดแย้งในตัวเอง ซึ่งน่าจะเหมาะกับนิสัยของสมาชิกในวงที่ดูภายนอกเรียบร้อยแต่จริงๆสนุกสนาน โดยเฉพาะเวลาอยู่บนเวที และในที่สุด Paradox ก็ได้คลอดอัลบั้มแรกในปี2539 ใช้ชื่ออัลบั้มว่า... Lunatic Planet (ดวงดาวบ้าๆบวมๆ) โดยได้พี่แก็ป ทีโบนมาร่วมงานในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ ซึ่งเพลงเด่นๆในอัลบั้มนี้ ได้แก่ นักมายากล ไก่ โรตีที่รัก เสือไบ

และในช่วงนี้เอง ทางวงได้ บิ๊ก มาช่วยเล่นกีต้าร์ตามคอนเสิร์ต และได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกวงในเวลาต่อมา แต่าไม่นาน ค่ายEasternsky Records ก็ได้ปิดตัวลง พร้อมๆกับโน้ตที่กำลังจะแต่งงานและเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อค่ายที่สังกัดอยู่ปิดตัวลงไปแล้ว ต้าจึงตัดสินใจที่จะทำอัลบั้มกันเองโดยใช้ชื่อค่ายว่า Tata Recordsและออกผลงานใต้ดินในชื่ออัลบั้ม "แมลงวันเสปน" (ของแท้ต้องพิมพ์ผิด) และอัลบั้ม Paradox & My Friendsซึ่งเป็นอัลบั้มที่มีเพื่อนๆในกลุ่มมาร่วมทำเพลงด้วยกัน เช่น วงวีนัส และ ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์

ในช่วงที่เปลี่ยนจากยุคอัลเทอร์เนทีฟมาสู่ยุคอินดี้ ป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) ก็ได้ชักชวนวงให้เข้ามาอยู่ในสังกัดของ Genie Records ทำให้Paradoxมีโอกาสทำเพลงเพื่อรวมอยู่ในอัลบั้ม Intro 2000 ร่วมกับศิลปินอื่น ต้าจึงได้ชักชวนโจอี้ ซึ่งเป็นญาติผู้น้องเข้ามาเป็นมือกลองของวง พร้อมทั้งชวนเก่งและอ๊อฟซึ่งเป็นเพื่อนที่มีส่วนในการทำเพลงด้วยกันมา ตั้งแต่แรก มาร่วมเป็นคอรัสและเติมสีสันให้กับทางวงอย่างเต็มตัว

ไม่นานหลังจากอัลบั้ม Intro 2000 Pardoxก็มีโอกาสได้ทำอัลบั้มเต็มของตัวเองอีกครั้งในชื่อชุด Summer โดยมีเพลงฮิตอย่าง น้องเปิ้ล Love ฤดูร้อน มีแต่เธอ และ ร.ด.Dance ซึ่งถือเป็นอัลบั้มที่ทำให้ชื่อ Paradox กลับมารู้จักในกลุ่มนักฟังเพลงอีกครั้ง และในปีเดียวกันนั้นเอง ต้าก็ได้ทำอัลบั้มใต้ดินชุดสุดท้ายของวงขึ้นมาในชื่อชุด แค้นผีนรก

จากความแรงเกินคาดของอัลบั้ม Summer ทำให้ Paradox ได้มีโอกาสออกอัลบั้มพิเศษชื่อ On The Beach ที่เอาเพลงเก่าจาก Lunatic Planet และ Summer มาร้องใหม่ และมีศิลปินรับเชิญมาเรียบเรียงดนตรีให้ในแบบอคูสติก และเพิ่มเพลงใหม่ขึ้นมา2เพลง คือเพลง ดาว และ สงสัย

หลังจากนั้นอีก1ปี Paradoxก็ออกอัลบั้มกับGenie Recordsอีกครั้งในชื่อ On The Rainbow ซึ่งเป็นอัลบั้มที่เน้นฝีมือด้านดนตรีของ Paradox ให้เด่นชัดมากขึ้น เพลงเด่นๆในอัลบั้มนี้คือ รุ้ง กลิ่นโรงพยาบาล เศษ และ กวีบทเก่า ที่นำบทเพลงของนูโวกลับมาเรียบเรียงใหม่ในสไตล์ Paradox

และแล้ว.. ในที่สุดFat Radio ก็ได้จัดให้มีคอนเสิร์ตใหญ่ของParadoxขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 28 มิถุนายน 2546 ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก ในชื่อ Fat Live 4 : The Paradox Circus พร้อมแขกรับเชิญคือ ก้อย Saturday Seiko, เล็ก สุรชัย กิจเกษมสิน, ผิง พิมพาภรณ์ และ สามสาวจากวง H และในปีเดียวกันนี้ พาราด็อกซ์ก็ได้ออกอัลบั้มชื่อ Free Style ที่มีเพลงดังอย่าง Sexy ทาส บอลลูน พร้อมทั้งนำเพลงนักมายากล จากอัลบั้ม Lunatic Planet กลับมาทำใหม่อีกครั้ง

หลังจากอัลบั้ม Free Style เพียงไม่กี่เดือน Paradoxก็มีผลงานพิเศษที่ร่วมกับศิลปินอื่นอีกครั้งในชื่อ Little Rock Project ซึ่งเป็นการนำเพลงของวงในตำนานอย่าง ไมโคร กลับมาทำใหม่ตามแบบฉบับของแต่ละวงในอัลบั้มนี้ ซึ่งพาราด็อกซ์มีผลงานอยู่2เพลงคือ มันก็ยังงง งง และ รักคุณเข้าแล้ว และได้มีคอนเสิร์ตที่ชื่อ Rock Size S เกิดขึ้นที่ Impact Arena เมืองทองธานี

เมื่ออัลบั้มเก่าๆของพาราด็อกซ์เริ่มหายาก จึงได้มีการออกอัลบั้มรวมชื่อ Hit Me ขึ้น ซึ่งเป็นผลงานรวมเพลงของพาราด็อกซ์ตั้งแต่อัลบั้ม Summer เป็นต้นมา และต่อมาพาราด็อกซ์ก็ได้มีโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนตร์ วัยอลวน4 โดยนำเพลงดังในอดีต อย่าง เธอที่รัก ของคุณชัยรัตน์ เทียบเทียม กลับมาเรียบเรียงใหม่ รวมถึงได้นำเพลง Let's Go Rider Kick ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของ ไอ้มดแดง V.1 มาเรียบเรียงใหม่เพื่อใช้สำหรับงาน ไอ้มดแดง Live Show In Bangkok อีกด้วย

หลังจากนั้น Paradoxก็ได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง จนห่างหายจากอัลบั้มเต็มไปถึง 3 ปี และในปี2549 Paradoxก็ได้กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม X (10 Years After) ซึ่งเป็นผลงานครบรอบ 10 ปีของทางวงนับตั้งแต่ออกอัลบั้มLunatic Planet ซึ่งอัลบั้มนี้ได้มีการใส่โบนัสแทร็คถึง12แทร็ค รวมกับเพลงปกติอีก10แทร็ค ในอัลบั้มนี้จึงมีถึง22เพลง!! โดยเพลงโปรโมตในอัลบั้มนี้คือเพลง ผงาดง้ำค้ำโลก และ ส่งรักส่งยิ้ม ในขณะที่เพลงโบนัสแทร็คหลอนๆอย่าง นั่งยาง ก็เป็นที่พูดถึงกันมากในเรื่องของความหลอนและโหดทั้งด้านเนื้อเพลงและดนตรี

เดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา Paradoxก็ได้ออกอัลบั้มพิเศษในชื่อว่า Paradox In Paradise ที่มีคอนเซปท์เหมือนอัลบั้ม On The Beach คือเป็นเป็นการนำเพลงตั้งแต่อัลบั้ม On The Rainbow มาร้องใหม่ และมีศิลปินรับเชิญมาเรียบเรียงดนตรีให้ พร้อมด้วยเพลงใหม่ที่ชื่อใครสักคน ซึ่งอัลบั้มนี้มีการจัดทำในรูปแบบของ Special Edition ปกยีนนส์ โดยเพิ่ม VCD และมีเพลงพิเศษคือ สิงห์รถบรรทุก

หลังจากอัลบั้มX (10 Years After) Paradox ได้มีโอกาสนำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งเพลงจิ๊บร.ด.ของ จิ๊บ วสุ แสงสิงแก้วเพื่อประกอบหนังเรื่องเขาชนไก่ เพลงกอดฉันไว้ ของจ๊อบ บรรจบ เพื่อประกอบหนังเรื่องสามชุก รวมถึงเพลงเพียงชายคนนี้(ไม่ใช่ผู้วิเศษ) ของเพชร โอสถานุเคราะห์ ที่อยู่ในอัลบั้มพิเศษ Play Project นอกจากนี้ยังได้ปล่อยเพลงใหม่อย่าง เรดิโอ ในปี 2551 และ รสชาติแห่งความรัก ในปี2552

แต่เนื่องจากทัวร์คอนเสิร์ตที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีโอกาสได้ทำเพลงให้ครบทั้งอัลบั้ม ทางค่ายจึงได้ทำอัลบั้มรวมฮิตอีกครั้งชื่อว่า Parade โดยรวมเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าๆ และเพิ่มเพลงใหม่คือ เรดิโอ รสชาติแห่งความรัก กอดฉันไว้ เพียงชายคนนี้(ไม่ใช่ผู้วิเศษ) และเพลงทะเลสีทำ ที่ต้าไปร่วมร้องในอัลบั้มUrban Lullaby ของลุลา

และในช่วงปลายปี2553 Paradoxก็เรียกเสียงฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการปล่อยเพลงใหม่ล่าสุด หรรษาราตรี ที่มีเนื้อเพลงและการเรียบเรียงที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งกว่านั้น ทางวงยังทำการรวบรวมคลิปต่างๆทั้งที่ถ่ายกันเอง และแฟนเพลงส่งให้ นำมารวมกันตัดต่อออกมาเป็นMusic Videoที่ยิ่งทำให้เพลงนี้ถูกพูดถึงกันในวงกว้างขึ้นไปอีก

แม้Paradoxจะมีอายุถึง15ปีแล้ว แต่กระแสความแรงของParadoxกลับไม่เคยลดถอยลงไปเลย ล่าสุดParadoxได้มีโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนต์ถึง2เรื่องพร้อมกันในเดือนเดียว คือเรื่องรักมันใหญ่มาก ที่มีการนำเพลงLove ฤดูร้อน Sexy สามมิติ มาทำใหม่ และอีกเรื่องคือ Suckseed ห่วยขั้นเทพ ที่มีการนำเพลงฤดูร้อน และมีแต่เธอมาประกอบ รวมถึงเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นมาให้กับตัวเอกของเรื่องอย่าง ซักซี๊ดนึง ก็ได้กลายเป็นเพลงฮิตล่าสุดในกลุ่มวัยรุ่นไปแล้ว

เนื่องจากParadox มีโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง ทางวงจึงถือโอกาสทำอัลบั้มพิเศษอีกครั้งในชื่อ The Love Scene เป็นการนำเพลงที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องรักมันใหญ่มาก มาเรียบเรียงใหม่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และมีศิลปินรับเชิญร่วมกันนำเพลงมาตีความใหม่ออกมาในรูปแบบของแต่ละคน รวมถึงนำเพลงเธอที่รัก กอดฉันไว้ และจิ๊บร.ด. มารวมไว้ในอัลบั้มนี้ด้วย

และในปีนี้ Paradox กำลังเตรียมที่จะปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาอีก2ชุด ซึ่งแบ่งเป็นอัลบั้มแนวเพราะๆสนุกๆในช่วงกลางปี และ อัลบั้มเพลงแนวแปลกๆ ในช่วงปลายปี ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปีที่16ต่อไป..

 
ผลงาน
อัลบั้มใต้ดิน
  • 2540 – แมลงวันเสปน
  • 2541 - Paradox & My Friends
  • 2543 - แค้นผีนรก

อัลบั้มสตูดิโอ
  • 2539 - Lunatic Planet
  • 2543 - Summer
  • 2544- On The Beach
  • 2545 – On The Rainbow
  • 2546 – Freestyle
  • 2547 – Hit Me
  • 2549 – X (10 Years After)
  • 2550 – In Paradise
  • 2552 – Parade
  • 2554 – The Love Scene



ผลงานเขียน - บันทึกลึกลับ Paradox X
  • เขียนโดย อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา (ต้า) นักร้องนำ
  • วางจำหน่ายครั้งแรกในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม 2550 - 10 เมษายน 2550 ที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
  • เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 เมษายน 2550 ณ ร้านบีทูเอส สาขาเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า ในงานที่ชื่อว่า "10 ปีที่ผ่านมา และ 10เพลง ที่ผ่านไป"
  • ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 มีการเพิ่มรูปภาพในหน้า 108 มีการปรับเปลี่ยนการจัดวางหน้า เพิ่มข้อมูลที่ขาดหาย และแก้คำผิด

รางวัล
  • รางวัลรถติดคนติด (เพลง ขอ จากอัลบั้ม Freestyle) : FAT AWARDS #2 (พ.ศ. 2547)
  • รางวัลท่อนฮุคเฆี่ยนใจ (เพลง ขอ จากอัลบั้ม Freestyle) : FAT AWARDS #2 (พ.ศ. 2547)
  • รางวัลศิลปินยอดนิยม : FAT AWARDS #5 (พ.ศ. 2550)




Avenged Sevenfold




MY PЯOFiLE

เขินนะเนี้ยยย -////-
ศรวิษฐา ทิสม
ฉายา..(ไว้ก่อน)
อายุ 15 ขวบ ;'D
ชั้น 407 ,,ลำปางกัลยาณี !!
แผนการเรียนอังกฤษ-จีน
ชอบฟังเพลง ชอบดนตรี
ชอบเรียนภาษาเกลียดคณิต
อยากเป็นไกด์นะคิดว่ามันเท่ดี 555+
ชอบกินปีโป้ ขนมลูกอม ไม่ชอบดื่มนม
เป็นคนง่ายๆ ติดขี้เกียจนิดนุง อิ อิ
คติ : พอใจเท่าที่มี ยินดีเท่าที่ได้ :)

555555 ฮาตัวเอง Call me ANGRY BUBII !!


เพี่ยน